ควันไฟจากเผาป่ากับไอเสียรถยนต์อะไรก่อมะเร็งมากกว่ากัน

ควันไฟจากเผาป่ากับไอเสียรถยนต์อะไรก่อมะเร็งมากกว่ากัน



ศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ NIDA เผยผลวิจัยศึกษาฝุ่นละอองในอากาศช่วงก่อนและหลังเกิดวิกฤติหมอกควัน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน พบสารก่อมะเร็งในฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนไม่ได้รุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล



ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA กล่าวว่า ได้เก็บข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในชั้นบรรยากาศในช่วงก่อนและหลังเกิดวิกฤติเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์การเกิดโรคมะเร็งปอด อันเกิดจากสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน หรือสาร PAHs ซึ่งมีสารเบนโซเอไพรีน B(a)P ที่มีผลต่อการเกิดโรคมากที่สุด โดยกำหนดระยะเวลาการเก็บตัวอย่างสภาพอากาศในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติ และช่วงเดือนมีนาคม 2556 หลังเกิดวิกฤติหมอกควัน ใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบนได้แก่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน อุตรดิตถ์ พะเยา แพร่ ลำพูน ลำปางเพื่อศึกษาผลกระทบจากหมอกควันไฟป่าต่อการเปลี่ยนแปลงระดับ ความเข้มข้นของสาร PAHs ในชั้นบรรยากาศ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอันเกิดจากสารก่อมะเร็ง ‘เบนโซเอไพรีน’ ที่มีฤทธิ์การก่อมะเร็งมากที่สุด ซึ่งอยู่ในฝุ่นละอองขนาดไม่เกินPM2.5 โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ GCMS-QP2010 Ultra Shimadzu ในการจัดเก็บแล้วนำมาวิเคราะห์กับซอฟแวร์ นิบบร้า ซึ่งเป็นซอฟแวร์ประเมินความเสี่ยงจากการรับสารก่อมะเร็ง



โดยพบว่า จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดที่มากับฝุ่นละอองขนาดเล็กในช่วงก่อนเกิดวิกฤติมากที่สุดได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีค่าสารก่อมะเร็งก่อนเกิดวิกฤติหมอกควันอยู่ที่ 445 พิโคกรัม รองลงมาได้แก่ลำปาง และแพร่ ที่มีค่าสารก่อมะเร็งอยู่ที่ 87 และ 46 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามลำดับ โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีค่าความเสี่ยงต่ำสุดเพียง 0.1 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร



ส่วนหลังการเกิดวิกฤติหมอกควันจากการเก็บข้อมูลตัวอย่างอากาศพบว่า ปริมาณสารก่อมะเร็ง เบนโซเอไพรีน ในจังหวัดอุตรดิตถ์ลดลงเหลือเพียง 334 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่จังหวัดแพร่และลำพูนมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก46 ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเพิ่มเป็น 91 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และจังหวัดลำพูนจากเดิม 0.45 เพิ่มเป็น 46 พิโคกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร



หากนำสภาพอากาศ 9 จังหวัดภาคเหนือ ที่มีค่าเฉลี่ยจะพบว่าอยู่ที่ 563 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มาเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกจะพบว่า สภาพอากาศ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบนพบว่า ประชาชนมีค่าความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดสูงกว่าประเทศสิงคโปร์ เบลเยี่ยมและสหรัฐอเมริกา แต่ต่ำกว่าเมืองใหญ่ๆใน เช่น ฮุงฮอม ประเทศฮ่องกง ซัวเถาและกวางโจวจากประเทศจีน ที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าไทยถึง 49, 38 และ 36 เท่าตามลำดับ ซึ่งล้วนเป็นเมืองใหญ่ที่มีสภาพการจราจรหนาแน่น สะท้อนให้เห็นได้ว่า ควันไฟป่าในก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน PM 2.5 มีสารก่อมะเร็งในระดับความเข้มข้นต่ำกว่าฝุ่นละอองจากไอเสียรถยนต์ ทำให้ประชาชนที่สูดดมควันไอเสียจากรถยนต์มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าการสูดดมควันไฟป่า”



ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com



ด้วยความปรารถนาดีจาก โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง “ ใส่ใจค้นหา บำบัดรักษาโรคมะเร็งให้คุณ” ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 054 – 335262 – 8 ต่อ18



Date :

©2015, โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง

ที่อยู่ 199 หมู่.12 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง 52000
โทรศัพท์ 054-335262-8 โทรสาร 054-335273
email : saraban@lpch.go.th